เชียงใหม่เป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางการทำงานขององค์กรพัฒนาเอกชนในภูมิภาคภาคเหนือของไทยมานานกว่า 4 ทศวรรษ มีกระบวนการทำงานที่เริ่มต้นจากงานชนบทในประเด็นของความยากจน ความด้อยโอกาส การเข้าไม่ถึงทรัพยากรพื้นฐาน และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ขบวนการทำงานขององค์กรพัฒนาเอกชนจากยุคแรกได้บ่มเพาะคนจำนวนมากให้เข้าสู่แนวร่วมการทำงานเพื่อประชาชน ในเวลาต่อมาจึงมีคนที่สนใจทำงานด้านเมืองและขยายฐานการทำงานเมืองจนกลายเป็นภาคส่วนที่มีบทบาทสูงในเวลาต่อมา
ในหลายทศวรรษที่ผ่านมาบริบทสังคมเปลี่ยนไป การทำงานขององค์กรพัฒนาเอกชนก็ค่อย ๆ ขยับเปลี่ยนจากการขยายตัวของงานภาคชนบท จากการต่อสู้กับความยากจนและโอกาสการเข้าถึงทรัพยากร ได้พัฒนาประเด็นชัดเจนในประเด็นเรื่องสิทธิ ที่ดิน และป่าไม้ ในส่วนภาคเมืองได้ขยายบทบาทและการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว งานของกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชนและกลุ่มประชาสังคมเหล่านี้ได้ส่งผลต่องานในระดับนโยบายรวมทั้งกำหนดทิศทางของเมืองเชียงใหม่ได้มาก เมื่อพิจารณาจากการทำงานขององค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือที่ขับเคลื่อนเรื่องการออกพระราชบัญญัติป่าชุมชนเพื่อให้ประชาชนได้มีสิทธิในการจัดการป่าไม้ของชุมชนเอง โดยใช้เวลาในการขับเคลื่อนมากกว่า 30 ปี จนในที่สุดจึงได้มี พ.ร.บ. ป่าชุมชนขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2562 และเป็นการจัดรูปโครงสร้างการจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ใช้กับทุกพื้นที่ในประเทศไทยไม่ใช่เพียงเฉพาะพื้นที่เชียงใหม่เท่านั้น
ปี พ.ศ. 2528 เนื่องจากการขยายตัวด้านเศรษฐกิจ กระแสการพัฒนาได้หลั่งไหลเข้าสู่เมืองเชียงใหม่ โครงการด้านการท่องเที่ยวของภาครัฐได้เพิ่มจำนวนขึ้น ในจำนวนนั้นมีโครงการก่อสร้างกระเช้าลอยฟ้าขึ้นดอยสุเทพเป็นเหตุให้นำไปสู่การตื่นตัวขึ้นของภาคพลเมืองซึ่งไม่เห็นด้วยกับโครงการ จนเกิดการรวมตัวกันเพื่อการประท้วงเพื่อต่อต้านการสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นดอยสุเทพโดยประกอบด้วยนักวิชาการ พระสงฆ์ ประชาสังคม และประชาชนชาวเชียงใหม่ การรวมตัวกันได้พัฒนาไปเป็นกลุ่มประชาสังคมในนาม “ชมรมเพื่อเชียงใหม่” เพื่อเรียกร้องให้เกิดการทบทวนโครงการพัฒนาซึ่งจะส่งผลกระทบในมิติของสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมความเชื่อของคนเชียงใหม่ที่มีต่อดอยสุเทพ ในระยะเวลาไล่เลี่ยกันได้เริ่มมีการสร้างคอนโดมิเนียมหรืออาคารสูงในเมืองเชียงใหม่ ชมรมเพื่อเชียงใหม่จึงมีบทบาทในการเป็นแกนนำเพื่อออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยและการต่อต้านคัดค้านการสร้างอาคารสูงในเขตเมืองเก่าเชียงใหม่เรียกร้องให้มีการควบคุมการก่อสร้างอาคารสูงโดยการกำหนดโซนให้และห้ามก่อสร้างอาคารสูงให้ชัดเจน การเคลื่อนไหวครั้งนั้นได้ส่งผลทำให้หน่วยงานภาครัฐทั้งในระดับท้องถิ่น จังหวัด และส่วนกลางได้เกิดการขยับตัว ทำการออกกฎกระทรวงเพื่อควบคุมการก่อสร้างอาคารสูง และเทศบาลนครเชียงใหม่ก็ได้มีการออกกฎหมายลูกคือ เทศบัญญัติเพื่อควบคุมการก่อสร้างอาคารในเขตพื้นที่เมืองเก่าเชียงใหม่ นับเป็นเทศบัญญัติฉบับแรกของไทยที่ระบุแนวทางการควบคุมการก่อสร้างในพื้นที่เฉพาะที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เช่นนี้ ในเวลาต่อมาเทศบัญญัติฉบับนี้ได้ถูกพัฒนาให้ก้าวหน้าขึ้นเป็นต้นแบบให้ท้องถิ่นอื่น ๆ ได้เรียนรู้และใช้เป็นแนวทางดำเนินการในแบบเดียวกัน ประเด็นต่าง ๆ นี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่าการขับเคลื่อนงานขององค์กรพัฒนาเอกชน ประชาสังคม และภาคประชาชนนั้นสามารถส่งผลต่อการสร้างนโยบายหรือการระงับนโยบายและส่งผลต่อการจัดรูปเมืองและสังคมได้ ที่สำคัญคือได้ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในพลังการแสดงออกของประชาสังคมและทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ก่อรูปตนเองขึ้นภายใต้สิ่งแวดล้อมนี้
อย่างไรก็ตามเมื่อสภาพแวดล้อมของสังคมเปลี่ยนไป พัฒนาการขององค์กรพัฒนาเอกชนและกลุ่มประชาสังคมของเชียงใหม่ก็มีการปรับตัว มีองค์กรที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ตามประเด็นปัญหาของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน กลุ่มประชาสังคมและองค์กรเหล่านี้มีรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากเดิม มีความหลากหลายและมีจำนวนมากมาย มีความเป็นอิสระที่รวมกลุ่มคนที่สนใจในเรื่องเดียวกันเพื่อทำงานตามความสนใจของกลุ่มตนเอง ที่สำคัญคือยังคงมีนัยสำคัญในการขับเคลื่อนเมืองเชียงใหม่ทั้งในรูปแบบกิจกรรม และยกระดับไปถึงนโยบาย
การเปลี่ยนผ่านจากยุคองค์กรพัฒนาเอกชนในสมัยก่อนจนมาถึงการทำงานของคนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยในลักษณะกลุ่มประชาสังคมที่ทำงานอย่างอิสระและทำงานตามความสนใจ มีการสานพลังเป็นเครือข่ายเมื่อมีประเด็นร่วมกัน สามารถเชื่อมโยงให้เห็นภาพการเคลื่อนตัวจากประสบการณ์และประวัติศาสตร์การขับเคลื่อนขององค์กรพัฒนาเอกชนเพื่อสนับสนุนต่อการยกระดับความเข้มแข็งของประชาสังคมใหม่ในปัจจุบัน