งานวิจัยนี้วิเคราะห์นัยด้านความเสี่ยงและความเป็นธรรมในชีวิตและการดำรงชีวิตของคนไทยภายใต้เงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงในมิติต่าง
ๆ เพื่อเสนอแนวคิดสำหรับการวางแผนนโยบายสาธารณะที่เหมาะสม โดยการวิเคราะห์ตัวอย่างปัญหาและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและในอนาคต
ข้อค้นพบหลักคือ
ในยุคอุตสาหกรรม
4.0 ที่ปัจจัยต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันอยู่ตลอดเวลา
ความไม่แน่นอนและความคลุมเครือของปรากฏการณ์ต่าง ๆ จะทำให้เกิดสภาวะวิกฤตถาวรที่มีปัญหาโลกแตกเกิดขึ้นต่อเนื่องกัน
จึงยากต่อการวิเคราะห์และออกแบบนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างครอบคลุมและเด็ดขาด ปัญหาโลกแตกจะยิ่งทำให้คนไทยประสบกับความเสี่ยงเชิงระบบมากยิ่งขึ้นอีกในทุกด้านของการใช้ชีวิต
ในขณะเดียวกัน
กระแสปัจเจกภิวัตน์ของสังคมไทยแม้เปิดโอกาสให้คนไทยมีเสรีภาพในการดำรงชีวิตมากขึ้น
แต่ก็ทำให้แต่ละคนต้องแบกรับและจัดการกับความเสี่ยงด้วยตนเองมากขึ้นท่ามกลางแนวโน้มการลดลงของทุนทางสังคมของครอบครัวและชุมชนแต่เดิมที่เคยช่วยรองรับความเสี่ยงเชิงระบบ
อีกทั้งความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคมทั้งระหว่างกลุ่มคนและระหว่างพื้นที่ ประกอบกับขีดความสามารถที่จำกัดของภาครัฐจะยิ่งทำให้การแก้ไขปัญหาโลกแตกเป็นไปได้ยาก
และทำให้การจัดสรรผลประโยชน์และความเสี่ยงยังคงไม่เป็นธรรมเช่นเดิมหรืออาจแย่ลงกว่าเดิม
ปัจจัยที่พัวพันกันนี้ยิ่งทำให้ความเสี่ยงเชิงระบบเพิ่มมากขึ้นทั้งสำหรับปัจเจกบุคคลและสังคมไทยโดยรวม
ด้วยเหตุที่ปัญหาโลกแตก
ความเสี่ยงเชิงระบบและความเป็นธรรมมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก การแก้ไขปัญหาในมิติใดมิติหนึ่งจึงจะขาดอีกสองมิติที่เหลือไม่ได้
โดยเฉพาะเมื่อเป็นปัญหาที่เกี่ยวพันกับทรัพย์สินส่วนรวมดังเช่นปัญหาฝุ่นควันและปัญหาน้ำท่วม นอกเหนือไปจากการจัดหาสวัสดิการสังคมที่รองรับความเสี่ยงระดับบุคคล
จุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาโลกแตกคือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของการออกแบบนโยบายสาธารณะรวมทั้งการปฏิรูปสถาบันทางเศรษฐกิจสังคมให้เป็นตามแนวคิดความเป็นธรรมเชิงสัญญานิยมแบบที่เน้นการสร้างประโยชน์ให้กับคนด้อยโอกาสก่อนกลุ่มคนอื่น
ส่วนการออกแบบและดำเนินนโยบายสาธารณะก็ต้องเปิดมุมมองและแนวทางเป็นแบบองค์รวมตามแนวคิดเชิงระบบ
เชิงวิพากษ์ เชิงออกแบบและเชิงอนาคต และให้ความสำคัญไม่เพียงเฉพาะข้อมูลตามแนวคิดของผู้เชี่ยวชาญ
แต่ต้องนำแนวคิดและมุมมองของผู้คนที่หลากหลายเข้ามาร่วมกันกำหนดกรอบการวิเคราะห์และกระบวนการที่มุ่งหาทางออกร่วมกัน
ในด้านกระบวนการ
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพัฒนาเวทีการร่วมหารือในทุกระดับ ซึ่งมุ่งสร้างความร่วมมือของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มักมีเงื่อนไข
มุมมองและความมุ่งหวังต่างกัน วัตถุประสงค์หลักคือการออกแบบสถาบันเพื่อพัฒนาการอภิบาลด้วยเครือข่ายที่เข้ามาแทนโครงสร้างอำนาจแบบรวมศูนย์ในการกำกับและจัดการทรัพย์สินส่วนรวมของสังคม
พร้อมกันนี้ แนวทางการทดลองดำเนินการจริงแล้วถอดบทเรียนเพื่อนำกลับปรับปรุงกระบวนการและสถาบันในการแก้ไขปัญหา
จะช่วยบรรเทาความไม่เป็นธรรมเชิงกระบวนการ และนำไปสู่ความเป็นธรรมเชิงผลลัพธ์ไปพร้อมกับเพิ่มขีดความสามารถของภาครัฐและทุกฝ่าย
ความสามารถในการฟื้นตัวและตั้งหลักใหม่นี้จะช่วยลดความเสี่ยงเชิงระบบที่มาพร้อมกับปัญหาโลกแตกได้ในที่สุด